ฝนฤดูมรสุม ฝั่งทะเลตะวันตก ลงเม็ดปรอยๆมาตั้งแต่ตนสายๆพอพ้นเพล ยิ่งตกหนักแน่วเหมือนฟ้ารั่ว หมอเถาและครูก้อน แวะกุฏิหลวงตาตั้งแต่ก่อนเพล ตั้งใจจะมาเอาฎีกาทอดผ้าป่าไปแจกชาวบ้าน พอกินอาหารเหลือเพลจากหลวงตาเสร็จแล้ว ก็เลยติดฝนไปไหนไม่รอด แลยอยู่ปรนนิบัติอาจารย์ นวดเฟ้นไปคุยกันไป ฝนยิ่งตกหนัก เสียงฝนกระทบหลังคากุฏิซึ่งมุงสังกะสี เสียงฝนก็ยิ่งดังซ่าสนั่นจนต้องตะโกรคุยกันทั้งๆที่นั่งห่างกันชั่วศอก หลวงตาชื้นขี้เกียจตะโกนตอบ จึงเพียงแต่คอยพยักหน้าเออออและพาลจะหนักหนังตา เพราะกำลังสบายฝีมือนวดของหมอเถาและครูก้อน พอเคลิ้มๆจะงีบก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเสียงหลังคาดังเปรี้ยงทั้งๆที่เสียงฝนดังลั่นก็ยังได้ยินถนัด ไม่มีใครเดาถูกว่าเป็นเสียงอะไร หมอเถาและครูก้อนวางมือจากนวด เงี่ยหูฟังทั้งเหลียวมองหาสาเหตุ เปรี้ยงที่สอง ดังแรงกว่าทีแรก และเสียงกลิ้งตามลาดหลังคาปังๆ ตกโครมลงกลางพื้นนอกชานเป็นก้อนอิฐเขื่องเกือบเท่ากำปั้น หลวงตาชื้นผลุดลุกขึ้นนั่ง “บ๊ะ ใครขว้างหลังคากุฏิว๊ะ” หมอเถาผลุดลุกขึ้นยืนออกท่านักเลงเก่าทันที “วันนี้ต้องขอเจอนักเลงดีสักหน่อย” พอหมอเถาขยับจะก้าว ครูก้อนหวังดีก็ตะครุบขากางเกงไว้ “ใจเย็นๆหมอเถา นับอายุเสียก่อน อย่างให้มีเรื่องเลย” หมอเถากำลังโมโห “อย่าห้ามครู อย่างมากก็เสียฟันสักแถบสองแถบ เรื่องเล็กน่ะ” ครูก้อนยิ่งยึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งเหนียวรั้งเต็มแรง เพราะหมอเถาดิ้นรนลากขาจะไปให้ได้ ยื้อยุดฉุดรั้งกัน จนหมอเถาร้อง “อุบ๊ะ ครูปล่อยขาก่อน” “ไม่ปล่อยว่ะ” ครูก้อนดื้อแถมดึงหนักเข้าอีก “ปัดโธ่เว้ย บอกให้ปล่อย กางเกงหลุดแล้ว เดี๋ยวเป็นอ้ายชีเปลือย” สองมือหมอเถายึดขอบกางเกงแน่น เพราะชายพกหลุด” ครูก้อนหัวเราะกิ๊ก อดขำท่าทางนักเลงเก่าหมอเถา กำลังยึดกางเกงตัวงอป้องกันความอุจาด จึงปล่อยมือจากขากางเกง หมอเถาได้ท่านุ่งกางเกงหยักรั้งทะมัดทะแมง ฝ่าฝนออกไปหยิบก้อนอิฐที่ขว้างเข้ามาตกอยู่ ปราดไปถอดดานประตูชานกุฏิ เปิดออกไปยืนกำ สิ่งที่เห็นท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกหนัก คือ รถยนต์เก๋งสีมืดๆจอดอยู่หน้าบันไดมองไม่ถนัดเพราะสายฝนตกจนมัวตา อารามโมโหคิดปักใจว่าอ้ายรถยนต์คันนี้แน่ตัวจำเลย “เอ้า…เอ้าขว้างมา ข้าก็คืนไป” มือหมอเถาเร็วเท่าความคิด แม้ครูก้อนที่วิ่งตามติดมายืนชิดหลังอยู่ก็ห้ามไม่ทัน หมอเถาขว้างอิฐเข้าใส่รถยนต์ แม้เสียงฝนดังลั่นก็ยังได้ยินเสียงก้อนอิฐกระทบหลังคารถดังสนั่น ปฏิกิริยาในรถเกิดทันที เสียงแตรรถกดดังยาว หมอเถาหูหาเรื่องฟังเป็นเสียงด่าตอบเลยพาลกวักมือตะโกนท้าทาย “ออกมาเว้ยนักเลง ขอชมฝีมือซึ่งๆหน้าสักหน่อย” หน้าต่างกระจกรถยนต์ที่ปิดกันฝนก็เลื่อนลง สิ่งที่เห็นกลางสายฝนทั้งหมอเถาและครูก้อนก็คือวัตถุสีดำสนิทเป็นลำค่อยๆยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ ชี้ปลายมาทางหมอเถาและครูก้อน พอสุดช่วงยาวแค่แขนหมอเถาก็เดาได้ว่าเป็นอะไร “เฮ้ย ปืน หลบเร็ว” หมอเถาร้องสุดเสียง ผงะจะถอยหลังหลับเข้าประตูซึ่งเปิดอยู่บานเดียว และครูก้อนซึ่งยืนติดหลังขวางประตูอยู่เต็มตัว จึงปะทะกันติดอยู่ตรงนั้นเอง อารามกลัวปืน หมอเถาจึงตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า คือพุ่งลงจากบันไดกุฏิกึ่งโดดกึ่งกลิ้งลงไปกองอยู่โคนต้นมะยมตีนบันได ส่วนนัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่วัตถุนั้นไม่กระพริบ เสียงเหมือนลั่นไกดังแกร็ก หมอเถาหลับตาปี๋ แต่หูไม่ได้ยินเสียงเปรี้ยงอย่างเสียงปืนอย่างที่คิด พอลืมตากลับเห็นเจ้าท่อนดำยาวนั้นกางพรึ้บเป็นร่มผ้าสีดำกันฝนคันใหญ่ และเจ้าของร่มก็เปิดประตูลงมาหลบเข้าใต้ร่มเป็นสตรีอายุวัย 50 และคนขับซึ่งเป็นหญิงสวยแต่ไม่สาวนัก ก็ตามติดลงมาเช่นกัน และมือขว้างกุฏิ ซึ่งหลบเข้าใต้ถุนกุฏิเพื่อหาอิฐก้อนที่ 3 เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดก็วิ่งอออกมา เห็นหมอเถานั่งพับเพียบอยู่โคนต้นมะยมก็เข้าประคอง ไม่รู้เหตุผลในหัวใจของหมอเถา และออกปากแสดงความสงสาร “ลุงหมอร้อนอกร้อนใจเรื่องอะไรหรือ ถึงลงมานั่งพับเพียบตากฝนอยู่ยังงี้” หมอเถากำลังทั้งโกรธทั้งอาย ปัดมือเจ้าแจ้งเด็กรุ่นแถวท่ารถเมล์ซึ่งมีอาชีพประจำในทางรับจ้างพาแขกมาหาหลวงตา “เอ็งอย่ายุ่ง อ้ายแจ้ง เรื่องของข้า เอ็งไม่เกี่ยว” “ถ้ายังงั้น ก็เชิญตามสบาย” เจ้าแจ้งยักคิ้วแพร็บตามนิสัยทะลึ่งลุกขึ้นนำหน้าสตรีทั้งสองขึ้นบันไดเข้ากุฏิไป หมอเถาขัดยอกสีข้าง ลุกชึ้นไม่ถนัดเหลียวหาครูก้อนหวังจะให้ช่วยก็พลอยหายหัวหลบเข้าไปแล้ว จึงต้องกัดฟันทรงตัวลุกขึ้นจนได้ ร่างกายเปรอะเปื้อนดินปนน้ำฝนไปทั้งตัว นึกอายตัวเองที่เป็นกระต่ายตื่นตูม ค่อยๆพยุงกายไต่บันไดตามขึ้นกุฏิไป สองสตรีเข้าชายคาจึงลดร่มลง และนั่งพับเพียบเรียบร้อยกราบหลวงตาอยู่ตรงหน้า ครูก้อนเป็นคนจำได้ก่อน จึงทักขึ้น “คุณประภานั่นเอง นึกว่าใคร” “ใช่แล้วจ้ะ ฉันเอง ครูก้อน” หญิงวัยสูงอายุยิ้มรับทักทาย หลวงตาชื้นเพ่งมองหน้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบเห็นและรู้จักมาก่อน แต่นึกไม่ออก เธอเดากิริยาหลวงตาได้ จึงท้าวความเก่า “ดิฉันเป็นบุตรแม่พร หัวหิน เจ้าค่ะ ตั้งแต่เจ้าคุณใหญ่มรณภาพดิฉันและคุณแม่ไม่ได้มาจังหวัดนี้เสียนานหลายปี หลวงตาเลยจำไม่ได้” หลวงตามองหน้าเลิ่กลั่ก ไม่ได้ยินเสียงพูด เพราะเสียงฝนกระทบหลังคาดังกราวกลบเสียงหมด ครูก้อนก็เลยต้องรับหน้าที่สื่อสารคือเอียงหน้าเข้าไปป้องปากใกล้หูหลวงตา ทวนคำพูดให้ฟัง อ้างถึงคุณแม่พร หลวงตาชื้นจำได้ทันที “นึกออกแล้ว คุณเคยมากับคุณแม่พรเสมอ ท่านเจ้าคุณใหญ่เมื่อสมัยท่านยังอยู่ได้อาศัยคุณแม่พร ทำบุญสร้างถาวรวัตถุให้แก่วัดไว้มาก เออ ขออภัย อาตมาแก่ลงไป ชักฟั่นเฟือนหลงๆลืมๆจำคนไม่ใคร่แม่น คุณประภาเองก็แปลกตาไปมาก จนจำไม่ถนัด ครูก้อนก็เอียงหน้าเข้าใกล้คุณประภาทวนคำหลวงตาให้ฟังและแถมคำของตนเองด้วย “เมื่อตอนผมเป็นครูอยู่หัวหิน ทางโรงเรียนขาดสิ่งไรออกปากได้เสมอ” คุณประภายิ้มแย้มเมื่อถูกยกย่อง และพูดผ่านเครื่องสื่อสารมีชีวิต “มาพบคนเก่าแก่วันนี้ดีใจจริงค่ะ ออกรถจากหัวหินมาพบฝนกลางทาง มาตกหนักเลยหลบอยู่ท่ารถเมล์จะมารบกวนหลวงตาไม่รู้จะสืบถามใคร ได้พ่อหนูน้อยเขารับอาสาพามานี่” หมอเถาแอบเข้าห้องเณรชั้วเช็ดตัวและบิดเสื้อกางเกงจนหมาดๆและทายาหม่องสีข้างจนกลิ่นฟุ้ง ออกมานั่งข้างๆฟังเขาสนทนากัน พายุฝนเบาลง และฝนก็ซาลงจนพอจะพูดกันได้ยินถนัด คุณประภาเหลียวเห็นหมอเถาก็ทักทายวิสาสะผูกมิตร “พ่อลุงเป็นคนแปลกดีใช้ก้อนอิฐขว้างหลังคารถเรียกและกวักมือให้ฉันขึ้นกุฏิ พอฉันกางร่มกลับโดดบันไดลงมานั่งรับข้างล่าง ฉับขอขอบใจ” หอมเถาหลบตาอายๆไม่อาจบอกความในใจของตนได้ เพราะต่างคนต่างเข้าใจไขว้เขวกันจับต้นชนปลายไม่ได้ จึงได้แต่ยิ้มฝืดๆแก้เก้อ คุณประภายังคงพูดต่อไปอีก คนเมืองนี้เขาช่างเป็นนักขว้างกันเก่งจริงๆพ่อหนูน้อยคนนี้ก็เหมือนกัน ตกลงให้พามากุฏิหลวงตาแกคิด 5 บาท เพิ่มค่าฝนตกอีก 5 บาท เป็น 10 บาท พอมาถึงกุฏิเรียกเปิดประตูรับไม่มีใครได้ยินเพราะฝนตกหนักแกมาเจรจาขอพิเศษอีก 10 บาท โดยจะหาวิธีพิเศษเรียกให้คนเปิดประตูรับจนได้ นึกไม่ถึงว่าแกจะใช้วิธีขว้างหลังคา ตะโกนห้ามแกก็ไม่ได้ยินเพราะอยู่ในรถ” หมอเถานั่งนึกอยู่ในใจว่าคุณนายหัวหินคนนี้แกช่างพูดเสียจริง แกพูดจ้อยๆอยู่คนเดียว หลวางตาชื้นนิ่งฟังเรื่ออยู่ทั้งครูก้อนแอบกระซิบเหตุที่หมอเถาตกบันไดและมีความเกรงใจคุณประภาอยู่เป็นทุน จึงระงับเรื่องไม่ไต่สวนเรื่องขว้างหลังคากุฏิ เพราะต่างฝ่ายต่างเกินเหตุและเมื่อหักกลบลบกัน ขาดทุนเขานิดหน่อยตรงหมอเถาศิษย์เจ็บตัว “ขอบใจคุณประภาที่แวะมาเยี่ยม หากมีกิจจะใช้สอย อาตมายินดีเสมอ” “ดิฉันไม่กล้าบังอาจตหรอกเจ้าค่ะเพียงแต่มีเรื่องร้อนใจจึงมากราบเท้าขอความกรุณา” คุณประภาหันมาทางสาววัย 30 ที่มาด้วยและนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ” แม่เยวเรศเป็นลูกน้องสาวดิฉัน พ่อกับแม่เขาแยกกัน ดิฉันก็เลยรับตัวมาอยู่ด้วยนานมาแล้ว อยากจะให้หลวงตาผูกดวงว่าจะมีเนื้อคู่หรือไม่” หลวงตาชื้นพิจารณารูปร่างหน้าตาปรารภอย่างแปลกใจ “รูปร่างหน้าตาสะสวยกว่าสาวหลายๆคนไม่น่าจะต้องมาหาหมอดู ดูเนื้อคู่เลยแม่หนุเอ๋ย” “ไม่ใช่ว่าจะไร้คู่หรือเจ้าค่ะหลวงตา” คุณประภาเกรงหลวงตาเข้าใจผิดจึงอธิบายความออกไปอีก “ใครเห็นใครชอบมีคนมาสู่ขอหลายรายล้วนแต่คนดีมีหลักฐานทั้งนั้น เธอไม่ตกลงด้วยสักรายเดียวมาจนอายุป่านนี้ ครั้นปลอบโยนให้หาคู่ครองมากเข้าก็จะกลายเป็นหลานสาวคนเดียวเลี้ยงไม่ได้ จะหาทางขับไล่ไสส่งไปให้พ้นๆแกมีใจเกลียดกลัวผู้ชายเสียจริงๆจะขออยู่เป็นสาวจนแก่ตาย ดิฉันจึงพาตัวมาหาหลวงตาเจ้าค่ะ” หมอเถาซึ่งนั่งคู่กับครูก้อนอยู่ห่างๆแอบกระซิบข้างหูเพื่อนเกลอเบาๆตามอารมณ์ปากอยู่ไม่สุข “ยังงี้ไม่ยาก ต้องใช้วิธีล้างสมองแบบคอมมานิต” ครูก้อนต้องรีบขยิบตาห้าม กลัวคุณประภาจะได้ยินเข้า เจ้าเด็กแจ้งซึ่งยืนกระสับกระส่ายคอยท่าอยู่นานแล้วได้ช่องก็ยกมือไหว้หลวงตาและหันมาบอกลาคุณผู้หญิง “ฝนหายแล้วผมจะต้องไปช่วยแม่ขายของจะต้องขอลาละครับ” “เชิญเถอะพ่อหนู ฉันขอบใจที่พามา” คุณประภาขอบใจโดยไม่เหลียวมา เพราะกำลังมัวสนใจอยู่กับหลวงตา เจ้าเด็กแจ้งยังไม่ยอมไปคงออกปากลาอีกเป็นหนสอง ทำเหมือนไม่ได้ยินคำขอบใจจนคุณประภาต้องหันไปดู ก็พบวิธีไหว้แบบพิศดารของเจ้าเด็กแจ้งจอมแก่น คือยกมือไหว้ด้วยมือขวาข้างเดียวแต่มือซ้ายกลับแบมาตรงหน้าบอกความหมายชัดโดยไม่ต้องแปล คุณประภารีบควักธนบัตรใบละ 20 บาทใส่มือให้ เจ้าแจ้งลงจากกุฏิไปได้ หลวงตาชื้นคว้ากระดานโหรมา ถามวันเดือนปี วางดาวลงในดวงชะตาอย่างคล่องแคล่ว หมอเถาและครูก้อน ค่อยๆคลานหลีกแขกเข้าไปแอบข้างหลวงตาอย่างเคย ผูกดวงเสร็จหลวงตาตรวจดูดาวประจำจักราศีนิ่งอยู่ มือถือช็อล์กเคาะกระดานอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่แล้วเงยดูหน้าคุณประภา “ถ้าคุณพ่อคุณยังไม่เสีย คงไม่ต้องหอบดวงมาหาอาตมาหรองกเพราะในสมัยนั้นท่านช่ำชองอยู่มากและเป็นศิษย์เล่าเรียนโหราศาสตร์โดยตรงจากเจ้าคุณใหญ่” “เจ้าค่ะ” คุณประภารับคำคล้อยตามหลวงตา “แต่คุณพ่อก็ยังยกย่องชมหลวงตาอยู่เสมอ ว่าอ่านดาวลึกซึ้งวิจิตรพิศดารกว่าท่านมาก” หลวงตาส่ายหน้ายังไม่ยอมรัยคำชม “ไม่ถึงเพียงนั้นหรอกคุณ ท่านพูดตามวิสัยบัณฑิตซึ่งมักยกย่องผู้อื่นดีกว่าตนเสมอ” คุณประภาเป็นคนช่างพูดช่างเล่า ก็เอ๋ยต่อไปอีกว่า “คุณพ่อท่านพยายามจะให้ดิฉันรู้โหราศาสตร์ตลอดมาด้วยอุบายนานาประการให้คัดลอกดวงสถิติที่เก็บเป็นประวัติไว้บ้าง คัดลอกดวงกฎเกณฑ์ที่บันทึกไว้บ้าง ท่านว่าคนรู้โหราศาสตร์ย่อมปลงตกในบุญบาปที่เกิดแก่ชีวิตแต่ดิฉันก็สักแต่ว่ารู้เอาไปใช้ประโยชน์อะไรมิได้ หลวงตาเหมือนจะได้คิดอะไรในใจอยู่จึงเลื่อนกระดานโหรที่เขียนดวงชะตาไว้มาตรงหน้าคู่สนทนา “คุณลองดูดวงนี้ทีหรือ พอจะอ่านได้ความว่ากระไรบ้าง” “ลำพังดิฉันอ่านไม่ออกเจ้าค่ะ สมัยคุณพ่อท่านชี้ไปแนะไปจึงรู้ความไปตามท่านบอก” คุณประภาชี้ดวงบนกระดาน “อย่างดวงแม่เยาว์นี่ ดิฉันมองดูภพปัตนิดมีดาวเข้าไปชุมนุมกันมากมายหลายดวงจนไม่รุ้ว่าจะอ่านอย่างไร อ่านดีก็ได้ ร้ายก็ได้” “ดีแล้ว เดี๋ยวอาตมาจะอ่านให้ฟัง แต่เรื่องของเธอมันซับซ้อนลี้ลับอยุ่หลายสถานและเป็นการส่วนตัวเฉพาะอยู่” หลวงตาชื้นพูดจบก็หันมาพยักหน้ากับหมอเถาและครูก้อน “ฝนขาดเม็ดแล้ว เอาฎีกาผ้าป่าไปแจกเขาตามที่สั่งไว้เสียเถอะ” หมอเถาและครูก้อนรู้ทีว่าหลวงตาทานไม่ต้องการให้อยู่ฟัง จึงฉวยมัดซองฎีกาผ้าป่าออกมา ใจนั้นยังนึกเสียดายที่มิได้ฟังอาจารย์ท่านอ่านดวงชะตา ซึ่งจะได้ความรู้อีกมาก แต่อีกใจหนึ่งก็ยังคิดว่าในวันหลังจะต้องเรียนถามให้ได้ พอหมอเถาและครุก้อนลับลงประตูไปแล้ว หลวงตาชื้นก็บอกแก่หลานสาวคุณประภา “ขออภัย เชิญคุณไปนั่งเล่นทางหอฉันโน่นสักครู่ ขออาตมาปรึกษากับคุณประภาสักประเดี๋ยว” หลานคุณประภาจึงปลีกตัวออกไปนั่งอยู่ที่หอฉันห่างกันพอเห็น แต่ไม่ได้ยินการสนทนา พอเหลือกันอยู่ลำพัง หลวงตาชื้นก็ชี้ลงที่เรือนปัตนิในดวงชะตา “เอากันตรงที่คุณประภามีเรื่องหนักอกหนักใจนี่แหละ ดาวเข้าสถิตอยู่หลายดวงล้วนแต่พกเอาความหมายมากเรื่องมากราวให้เกิดขึ้นทั้งนั้น” คุณประภารับคำเจ้าค่ะ ก็จริง แต่ก็อดออกความเห็นมิได้ “เมื่อแรกที่ดิฉันจะรับตัวมา ดูดวงแม่เยาว์เห็นจันทร์ร่วมอังคาร เล็งลัคนาอยู่ในเรียนปัตนิไม่สบายใจเลยเพราะคุณพ่อเคยว่ามันเป็นคู่ชู้สาว และอังคารก็คือตนุลัคน์ ตัวของเธอเอง เกรงแกจะมีนิสัยชอบคบชู้สู่ชาย ทำให้ดิฉันต้องอับอายชาวบ้านเขา แต่พอมาอยู่กันตริงกลับตรงกันข้ามแกเกลียดกลัวผู้ชายอย่างเอาเป็นเอาตาย ดิฉันยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ไม่รู้ว่าดาวผิดหรือคนผิดกันแน่” “ไม่ผิดทั้งดาวทั้งคนหรอกคุณ” หลวงตาชื้นยิ้มชอบใจที่คุณประภามีความรู้โหราศาสตร์พอตัว “ดาวในเรือนปัตนิเขามีอยู่หลายดวงทำไมไปเลือกอ่านเอาเพียงจันทร์กับอังคารแล้วเอาดาวอื่นเขาไปทิ้งเสียไหนหมด” คุณประภาเป็นคนมีมารยาทดีก็รับคำ “เจ้าค่ะ” “อ่านดาวมันต้องเริ่มทีละขั้น ตั้งแต่ต้นไปหาปลายอย่างเช่น ดวงนี้ก็ต้องเริ่มจับอังคารก่อน เพราะเป็นตนุลัคน์เท่ากับตัวเราเอง อังคารไปอยู่เรือนปัตนิเป็นประก็เท่ากับตัวเองต่ำต้อย เสื่อมเสียและอังคารเป็นเจ้าเรือนอริอีกเรือนหนึ่ง ซึ่งหมายถึงความเดือดร้อนยุ่งยากในเรือนปัตนิก็ย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยความรักความเสน่หาหรือต่างเพศทั้งเป็นราศีพฤษภเรือนศุกร์ด้วยก็ยิ่งมีความหมายแน่นอนเข้า เมื่อเอาจันทร์บวกความหมายอังคารเข้าความหมายก็ยันเอาว่าเป็นเรื่องชู้สาวตามที่คุณเข้าใจและเมื่อเอาเสาร์เข้าร่วมอ่านกับอังคารร่วมภพอริซึ่งเป็นศัตรู หมายถึงทำร้ายข่มเหงกระทบกระทั่งแตกหักรุนแรงร้ายแรง ก็อ่านได้ว่าเป็นเหตุการณ์ข่มเหง ประทุษร้าย ร้ายแรงแก่เจ้าชะตา และเมื่อเอาเสาร์อ่านร่วมกับจันทร์ซึ่งเป็นคู่ดาวศัตรูที่หมายถึงการพลัดพรากแตกแยกจากกัน ก็ต้องหมายถึงเมื่อเกิดเหตุทำให้พลัดพรากจากกันหรือเหตุการณ์เกิดแล้วก็ผ่านชีวืตไปไม่คงอยู่ถาวรและเมื่อเอาเกตุเข้ามาอ่านร่วมก็หมายถึงเกิดโดยฉับพลันทันทีรวดเร็วไม่คาดฝัน ยิ่งเอามฤตยูเข้าอ่านร่วมก็เพิ่มความหมายว่ามันเป็นอาเพทแก่ชีวิต เป็นมฤตยูที่ให้ความหมายสูญสิ้นแก่ชีวิต ทีนี้ลองดูผลลัพธ์แก่ชีวิตและจิตใจเจ้าชะตาว่าเป็นอย่างไรจ้าเรือนปัตนืที่มีเหตุยุ่งยากเดือดร้อนนั้นคือศุกร์ เมื่อตามดูศุกร์ก็จะพบว่ามาเป็นเกษตรวินาศลัคนาอยู่อ่านได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ปกปิดหรือเป็นเรื่องลี้ลับแก่เจ้าชะตาโดยตลอดไปหรือจะอ่านสอบทางตนุเศษในด้านจิตใจก็คือ ศุกร์เจ้าเรือนปัตนิคือความรักความใคร่นั้นอยู่ภพที่6 กับตนุเศษ อันเป็นอริกับจิตใจเจ้าชะตาซึ่งคิดเป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ หรือเป็นทุกข์ใจของเจ้าชะตานั้นเองและเมื่อเป็นตนุเศษคือเสาร์กับศุกร์ก็ยิ่งเป็นความคิดที่ขมขื่นระทมตรมตรอมใจนั้นเอง เฮ่อ” หลวงตาหยุดพูดระบายลมหายใจยาว เพราะสังขารมันทำท่าจะหยุดหายใจเอาเมื่อไม่มีหมอเถา ศิษย์ที่เคยปรนนิบัติ หลวงตาชื้นก็ต้องปรนนิบัติตนเอง รินน้ำชาและจุดบุหรี่สูบทั้งๆที่ฝนตกเพิ่งหยุดอากาศยังเย็นแต่หลวงตาชื้นเหงื่อซึมเพราะเหนื่อย คุณประภาเกรงใจ เพราะเห็นหลวงตาเหนื่อยจึงไม่กล้าซักต่อได้แน่นิ่งอยู่ จนหลวงตาชื้นหายใจคล่องขึ้น จึงถามคุณประภาเบาๆแต่จริงจัง “ขอถามตรงๆอย่าอับอายพระแก่ๆแม่หลานสาวเสียเนื้อเสียตัวกับผู้ชายเพราะถูกข่มเหงรังแกคิดร้ายจนกลายเป็นคนมีความรู้สึกขมขื่นต่อชีวิต จริงหรือเปล่า” คุณประภารับปากง่ายดาย “มีเจ้าค่ะแกถูกปลุกปล้ำทำมิดีมิร้ายจาก..” “เดี๋ยวก่อนอย่างเพิ่งเล่า…” หลวงตาชื้นห้ามไว้และชี้ดาวที่เรือนปัตนิ “เมื่ออังคารเป็นตนุลัคน์คือตัวเอง จันทร์ก็จะมาจากภพศุภะซึ่งแปลว่าที่พึ่งที่นับถือ และเสาร์มาจากภพสหัชชะซึ่งแปลว่าเพื่อน ครั้นจะแปลว่าตัวมาร คือเพื่อนชายที่นับถือพึ่งพาก็ดูมันไม่กลมกลืน เพราะมันยังมีเค้าอีกความหมายหนึ่งอยู่ แต่ขอถามก่อนว่าเมื่อพ่อกับแม่ของแกแยกกันคุณแม่มีสามีใหม่อีกหรือเปล่า” คุณประภารับคำว่า “พ่อแก่ไปมีเมียใหม่ แม่ก็เลยไปได้สามีใหม่บ้าง” หลวงตาชื้นตบเข่าตัวเองฉาด “ได้เรื่องล่ะเจ้าผู้ร้ายมันก็คือพ่อเลี้ยงนั่นเองที่เป็นคนทำมิดคีมิร้ายใช่หรือไม่” คุณประภาตกใจ นึกไม่ถึงว่าหลวงตาชื้นจะกล้ายทายจังๆเช่นนั้น และถูกต้องเหมือนรู้เห็นเหตุการณ์มาด้วยตัวเอง เธอยกมือไหว้เคารพด้วยเต็มใจ “ถูกต้องตามคำหลวงตาทุกประการเจ้าค่ะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ เมื่อพ่อแม่แกแยกกันแม่เยาว์แกก็ติดตามไปอยู่กับแม่ เมื่อแม่ได้สามีใหม่ก็ต้องอาศัยร่วมครอบครัวเดียวกันกับพ่อเลี้ยง แก่กำลังสาวเต็มตัว พอได้โอกาสพ่อเลี้ยงก็เข้าปลุกปล้ำเสียทีเขาจนได้ แม่รู้เรื่องเข้าก็เลยให้ดิฉันรับตัวแยกมาอยู่เสียให้พ้นเรื่องอับอาย และเจ้าตัวแกก็ยินดีที่จะได้พ้นมือมารร้าย ตั้งแต่นั้นมาผู้ชายซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้าไปมีเมียใหม่จนบ้านแตกสาแหรกขาดและผู้ชายที่เป็นพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นโจรปล้นชีวิตจนต้องเป็นมลทินหัวใจไปตลอดชาติ แม่เยาว์จึงเกลียดความรักและผูกพยาบาทผู้ชายทุกคนตลอดชีวิต ทั้งเกลียดกลัวการแต่งงานหนักหนาเจ้าค่ะ” หลวงตาพยักหน้าเห็นใจ “ก็น่าให้เขาเข็ดขยาดผู้ชายหรอก ดีแต่ว่าตนุเศษแกเป็นเสาร์ทำให้แกใจแข็งอดทนต่อความทุกข์มิฉะนั้นอาจทำให้แกคิดสั้น ทำลายชีวิตตัวเองเสียแล้วก็ได้” คุณประภายังสงสัยความหมายของดวงดาวที่หลวงตาอ่าน จึงเรียนถามเกรงๆใจ “โปรดอย่าหาว่าดิฉันซักไซร้ไล่เลียงเลยเจ้าค่ะ ถ้าเสาร์เป็นตัวการก่อเวร อ่านว่าเพื่อนก็คงถูกเพราะเป็นเจ้าเรือนสหัชชะแต่อ่านว่าเป็นพ่อเลี้ยงนั้นดิฉันไม่สู้จะเข้าใจเจ้าค่ะ” “อ้อ…ลืมอธิบายไปอ่านรวบรัดไปหน่อย มิใช่ว่าเดาเอาหราอกคุณดวงดาวเขาบอกเช่นนั้นจริงๆ” หลวงตาชื้นชี้นิ้วไล่เรือนไปบนกระดาน “อันว่าราศีมังกรเป็นเรือนของเสาร์ทางลัคนาเป็นภพสหัชชะแม่เมื่อนับจากตนุเศษราศีมังกรก็เป็นภพศุภะของตนุเศษ หมายถึงที่พึ่งทางจิตใจของเธอและถ้าดูจากราหูซึ่งเป็นดาวลอยสถิตอยู่ในราศีกรกฏ ราศีมังกรก็เป็นภพปัตนิของราหู เสาร์เจ้าเรือนราศีมังกรจึงเป็นดาวปัตนิของราหูด้วย ราหูคือใคร ราหูก็คือเจ้าเรือนพันธุของเจ้าชะตา เรือนนี้ก็คือญาติหรือมารดา กิมื่อเสาร์คือผัวของแม่ก็คือพ่อไม่เป็นพ่อเลี้ยงแล้วจะเป็นใครไปได้ การอ่านดาวทางนี้เขาเรียก “พระเคราะห์ถ่ายเรือน” เพื่อหาความหมายและเรื่องราวประกอบเหตุการณ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น” คุณประภาก้มลงกราบรับความเมตตาที่ได้รับความรู้อันหาค่ามิได้จากหลวงตาชื้นและปรับทุกข์ถึงเรื่องที่ตั้งใจมาหา “เรื่องเนื้อคู่ของเม่เยาว์หลวงตาคิดว่าจะมีผลอย่างไรในอนาคตเจ้าค๊ะ” “อาตมาเป็นสงฆ์ มันคอยแต่จะคิดเอาว่าความรักความใคร่ มันเป็นกิเลสให้เกิดความทุกข์อยู่ท่าเดียว แต่ดวงแม่หลานสาวคนนี้ในเรือนปัตนิของเธอ ดวงดาวให้โทษมีอยู่มาก เช่น เสาร์กับจันทร์มันบอกถึงความพลัดพรากเลิกร้างกัน เสาร์กับอังคารมันกระทบกระทั่งแตกแยกร้าวฉาน จันทร์กับอังคารมันรักใครผิดศีลผิดธรรมได้ง่าย ซ้ำศุกร์เจ้าเรือนมาแสดงผลวินาศลัคนาเสียอีก ทางที่ดีอย่าไปกวนใจแกเลย แกอยากอยู่เป็นสาวโสดก็ปล่อยตามใจแกเถิด ขึนใจตบแต่งไปก็ต้องเลิกร้างแตกแยกเกิดทุกข์จนได้เท่ากับว่าชีวิตแกมีรอยร้าวอยู่ในเรื่องคู่ครองอยู่แล้ว พอกระทบกระทั่งเข้าก็จะแตกทำลายลงโดยง่าย ถ้ารักและสงสารก็ปล่อยตามใจแกปรารถนาจะดีกว่า ถือคำเสภาเก่าเขาว่า “อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา” คุณประภาหัวร่อชอบใจที่หลวงตาเจ้าบทเจ้ากลอน ก้มลงกราบ “ดิฉันจะจดจำคำของหลวงตาและจะปฏิบัติตามคำแนะนำที่หลวงตาแนะให้ เป็นพระเดชพระคุณอย่างสูงสุด” ฝนที่หายขาดเม็ดไปแล้ว กลับตั้งเค้ามาอีก ฟ้ามือและพายุพัดแรงจัด เป็นลางบอกถึงฝนจะตกหนักอีกไม่ช้า คุณประภากวักมือเรียกแม่หลานสาวเข้ามากราบลาหลวงตาชื้นเพราะเกรงจะขับรถกลับลำบาก ไปมือค่ำกลางทางและก่อนจะกลับ คุณประภาเปิดกระเป๋าถือ นับธนบัตรใบละ 100 ครบหนึ่งพันบาท ลงวางถวายตรงหน้าหลวงตาไว้ “ทราบเมื่อครู่ว่า หลวงตากำลังเรื่อไรทอดผ้าป่า ดิฉันขอทำบุญร่วมองค์ผ้าป่าด้วยเจ้าค่ะ และวันทอดจะมาอีกครั้ง” หลวงตาชื้นเอากลักบุหรี่ทับไว้ กันปลิวตามพายุที่กำลังพัดอยู่ปลื้มอกปลื้มใจที่ผลบุญเกิดทันตาเห็น ท่านให้ศีลให้พรอนุโมทนาให้คุณประภาและหลานสาวได้ประสบความเจริญสุขในชีวิตและลาภผลสมบัติศฤงคาร อันอุดมทุกประการ