จุดคราสในดวงชะตา

วันนักขัดตฤกษ์ นักเรียนไม่ต้องไปโรงเรียน ข้าราชการไม่ต้องไปทำงาน ชีวิตชุมชนในจังหวัดเล็กๆจึงดูเหมือนจะพลอยหยุดพักผ่อนในวันนี้ไปด้วย แม้แต่ดินฟ้าอากาศก็สงบและอ้อยอิ่งเหมือนคนเกียจคร้าน

กระทั่งเวลาสายเลยเพล บ้านเรือนเงียบสงบแต่ในวัดกลับคึกคักด้วยผู้คนมาทำบุญเพื่อหวังความสุขในพลานิสงส์ โดยเฉพาะบนกุฏิหลวงตาชื้น มีแขกทั้งชายหญิงคับคั่งมากหน้าหลายตา มีคุณนายเฮี๊ยะปากน้ำกรดกับแม่บุษบา(ฮวย) ลูกสาว และคุณนายทรัพย์เศรษฐีนีแหวนเพชร แม่ยายทิดจวงกับแม่ศรีลูกสาวและลูกเขยมากันพร้อม แขกประจำที่ไม่ต้องนับเข้าบัญชี คือ หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ต่างคนต่างมีความตั้งใจตรงกันคือจะถวายภัตตาหารเพลแด่หลวงตาชื้น แต่เมื่อมากเจ้าภาพก็มากกับข้าวคาวหวาน จึงเลยนิมนต์พระองค์อื่นจากกุฏิใกล้เคียงร่วมฉันเพลด้วย รวมเป็น 5 องค์ บนหอฉัน

กระทั่งพระฉันอาหารคาวเสร็จสำรับกับข้าวพร่องไปแทบทุกสิ่ง เจ้าของต่างปลื้มใจนักหนา ลูกศิษย์พระที่ตามอาจารย์มาก็คลานเข้ามาลำเลียงอาหารออกไปเพื่อตั้งวงกินกันต่างหากทางระเบียงกุฏิ โดยมีเณรชั้วเป็นหัวหน้ากำกับการ

ของหวานลำเลียงเข้ามาประเคนแทนคุณนายทรัพย์เจ้าภาพที่ถวายของหวานด้วยทุเรียนเนื้อเหลืองอร่ามจานใหญ่จนคุณนายเฮี๊ยะอดหมั่นไส้ไม่ได้ยิ่งนิ้วของคุณนายที่ชี้เชิญพระฉันเป็นนิ้วที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่ถึง 3 วง ส่งแสงวูบวาบบาดตาบาดใจคุณนายเฮี๊ยะให้หมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีก

หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ถือตัวว่าตนมีศักดิ์เป็นศิษย์หลวงตา เหมือนศิษย์วัดจึงไปตั้งวงคุยกันอยู่ห่างๆ และทิดจวงก็ตามมาร่วมวงด้วย เสียงคุยกันนั้นเบาๆซุบซิบกันก็จริง แต่ตอนสำคัญเสียหัวเราะดังเต็มเสียง จนหลวงตาต้องเหลียวสบตาลูกศิษย์บ่อยครั้ง

พอพระฉันของคาวหวานเสร็จ เณรชั้วหัวหน้าศิษย์พระก็เข้าลำเลียงจานของหวานทั้งขนมสัมสูกออกจากวง และจานสุดท้ายเณรชั้วเป็นคนถือเองคือจานทุเรียนที่ยังเหลือ 3 พู

สงฆ์ฉันเสร็จก็จัดจีวรให้เข้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อย รอให้เจ้าภาพคือคุณนายทรัพย์และคุณนายเฮี๊ยะเตรียมตรวจน้ำ หลวงตาชื้นเป็นภิกษุมีอาวุดสกว่า ก็เริ่มอนุโมทนาคถา “ยะถา วาริวะหา ปูราปะริ ปูเรนติ” จนกระทั่งถึงรับสัพพีติโยพร้อมกัน พอถึงบทสุดท้ายให้ศีลให้พรด้วยบทมงคลจักรวาฬน้อย จบลงด้วย “สทาโสตถิ ภวันตุ-เตฯ”

คดีอุกฉกรรจ์ก็เกิดขึ้น เสียงดึงดังโครมครามเสียงตะโกนร้องเอะอะไม่ยอม…ไม่ยอมจากทางระเบียงที่ตั้งสำรับให้เด็กศิษย์พระที่มาฉัน

ทั้งพระทั่งฆราวาสลุกขึ้นชะเง้อดู ตกอกตกใจ ก็เห็นคนสองคนปล้ำกันอุตลุด คนหนึ่งคือเณรชั้วถูกปล้ำฟัดเหวี่ยงจนอังสะปลิวว่อน เจ้าคนปล้ำชื่อเจ้าดำศิษย์ของสมุห์แจ้งที่มาฉันด้วย ทั้งออกแรงปล้ำและตะโกนสุดเสียงโมโห “ไม่ยอม…ไม่ยอม”

หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์รีบวิ่งเข้าห้ามแยกออกจากกัน หมอเถากอดเณรขั้วไว้ ครูก้อนล็อคคอเจ้าดำไว้แน่น เพราะเจ้าหมอนี่ยังดิ้นรนกำลังโมโหจะไม่ยอมหยุดท่าเดียว

หลวงตาทั้งโกรธทั้งสงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน หน้าท่านบั้งตะโกนสั่ง “เอาตัวมานี่ทั้งคู่ เจ้าตัวดี”

ทั้งเรณชั้วและเจ้าดำมานั่งพับเพียบเรียบร้อยต่อหน้าหลวงตายังเหนื่อย จนหอบอกกระเพื่อมทั้งคู่ สมุห์แจ้งอาจารย์ของเจ้าดำทั้งโกรธและขายหน้าที่ลุกศิษย์มาก่อเหตุในกุฏิหลวงตาจึงตวาดถามเสียงเขียว

“มันเรื่องอะไรกันเจ้าดำ ถึงอาละวาดทำร้ายเณรชั้วต่อหน้าต่อตาข้าแท้ๆ”

เจ้าดำตอบอาจารย์ทันที “ผมไม่ได้อาละวาด ผมจะค้นตัวเณรชั้ว เณรกลับต่อยผมก่อน ก็เลยปล้ำกัน”

สมุห์แจ้งร้องอ้าว เหลียวมองหน้าหลวงตา เหมือนจะฟ้องเณรชั้วในที แต่หลวงตาไม่ทันถามเณรชั้วก็รีบแก้ข้อหาก่อน

“ผมไม่ได้ต่อย เจ้าดำเข้ามาจี้บั้นเอว จั้กจี้ก็เอามือผลักหน้าออกไป”

เจ้าดำยันอาอีก “มือผลักหน้าทำไมต้องกำหมัดผลักด้วยล่ะ”

เณรก็อ้างเหตุผล “ก็กำลังตกใจ จั้กกะจี้ ใครจะรู้ว๊ะว่ามือมันแบหรือมันกำ”

หลวงตาชั้นสงสัยคำเจ้าดำจึงถามย้ำให้รู้แน่ “เจ้าดำเอ็งว่าค้นเณรชั้ว ค้นอะไรกัน”

“เณรชั้วขโมยขอรับหลวงตา” เจ้าดำแจ้งข้อหาทันที เพื่อนๆเจ้าดำยกจานทุเรียนที่เหลือมาวางต่อหน้าเป็นพยานหลักฐาน และไม่ต้องมีใครซักมันอธิบายเสร็จ “เณรชั้วขโมยทุเรียนที่เหลือจากพระฉัน เมื่อตอนก่อนยกจานผมนับไว้มี 3 พู พอเณรยกไปถึงระเบียงเหลือ 2 พู ผมเดินตามหลังคุมไปติดๆทีเดียว ต้องซ่อนไว้ในตัวแน่”

“เกิดโจทก์ขึ้นมา เณรชั้วก็ต้องเป็นจำเลยแก่คดีเขาละ” สมุห์แจ้ง ยังจำความเก่าที่เณรชั้วเคยยุเด็กชาวบ้านขโมยมะม่วงต้นข้างกุฏิของตนจนหมดต้น ยังเจ็บใจมาจนทุกวันนี้ จึงได้ทีตั้งรูปคดีแก้เผ็ด “ต้องอทินนาเสียด้วยขอรับหลวงตา”

หลวงตาชื้นทั้งโกรธทั้งอาย ที่เณรชั้วเสียท่านเขา ท่านก็รู้ความนัยอยู่ จึงพูดประชดด้วยอารมณ์โมโห

“ถ้าขโมยเขาจริงก็ต้องสึก”

เณรชั้วนั่งหน้าซีดเหงื่อแตก เพราะเจ้าดำโจทก์ยังยืนคำเดิม

“ลองค้นตัวดูซีครับ ต้องมีแน่ๆ”

หลวงตาจนใจหันมาพยักหน้ากับหมอเถาให้เป็นคนค้น หมอเถาใจคอไม่สบาย เพราะถึงดีชั่วยังไงเณรชั้วก็ศิษย์ร่วมอาจารย์ แต่ก็จำใจต้องทำ เณรชั้วมิได้ครองจีวรคงครองแต่อังสะตัวเดียว และแห่งเดียวที่ถูกสงสัยถือกระเป๋าชายอังสะ พอล้วงก็เจอทะเรียนพูใหญ่ ถูกปล้ำเกือบเละ จึงล้วงของกลางออกมาวางต่อหน้า

เจ้าดำยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่คนอื่นๆเงียบงันตกตะลึงนิ่ง สมุห์แจ้งยิ้มอยู่ในหน้าสมใจคิด พระองค์อื่นไม่กล้าออกความเห็น หลวงตาชื้นแทบจะลุกขึ้นคว้าสายระเดียงหวดหลังเณรชั้ว เพราะความอายที่ลูกศิษย์ตนกลายเป็นโจร

“ว่ายังไงเจ้าเณรชั้ว จะแก้ตัวว่ายังไงอีก” หลวงตาถามเสียงแค้นๆ

เณรชั้วหน้าซีดจนเป็นสีขาวแก่ อารมณ์เด็กจึงแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เพราะกลัวถูกสึก “มันคงจะกลิ้งตกจากจานลงกระเป๋าไปเองกระมังขอรับ ไม่รู้ตัวเลย”

หลวงตาชื้นยิ่งโกรธจัด ที่เณรชั้วแก้ตัวไปข้างๆคูๆจึงชี้หน้า “เจ้าเณรชั้ว เราเป็นลูกผู้ชายผิดก็ยอมรับผิดเสียงตรงๆเสียศีลแล้ว แต่อย่าให้มันเสียศักดิ์ซีวะ”

เณรชั้วร้องไห้ น้ำตาไหลพรากกัดฟันตอบ “ผมหยิบใส่กระเป๋าเองขอรับหลวงตา”

หลวงตาชื้นเบือนหน้าหนีไม่อยากมองน้ำตาเณรหลานชาย หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ สงสารเณรชั้วใจจะขาดเพราะคิดว่าต้องถูกสึกแน่

สมุห์แจ้งสีหน้าดูพออกพอใจ และไม่มีใครเดาใจท่านออกว่ามีเลศนัยอย่างไรเมื่อหันมาบอกหลวงตา

“หลวงตาครับ ผมขออย่าให้ถึงกับต้องสึกเลย ถึงแม้จะผิดโทษสถานหนักก็เถอะ”

หลวงตาฟังออกว่าผู้พูดเจตนาจะย้ำคำของท่านเมื่อสักครู่นี้ เมื่อลั่นปากแล้วก็ต้องรักษาสัตย์

“เมื่อต้องอทินนาขโมยเขา ผิดทั้งทางโลกทางธรรม ต้องสึกแน่บวชให้เปื้อนสกปรกผ้าเหลืองทำไม่ เข้ามานี่ใกล้ๆหน่อย”

เณรชั้วปล่อยโฮออกมาเต็มเสียง ตามประสาเด็ก หมอเถาเป็นคนใจอ่อน จึงพลอยสะอื้นฮักตามไปด้วย พอหลวงตาคว้าอังสะเณร หมอเถารู้สึกเหมือนมีอะไรดลใจ ยกมือไหว้ท่วมหัว ร้องสุดเสียง

“อย่าเพิ่งขอรับหลวงตา เณรชั้วไม่ได้เป็นขโมยแน่ ขออ้ายเถาพูดมั่ง เณรถูกใส่ความ”

สมุห์แจ้งหันมาหัวเราะเยาะ “หมอเถาแกพูดอย่างคนโง่หรือคนบ้ากันแน่ ของกลางก็ค้นได้ในตัว ทั้งรับสารภาพด้วย ต่อให้พระอินทร์เหาะมาเขียวๆมาบอกว่าไม่ได้ขโมยก็ไม่มีใครเขาเชื่อ”

หมอเถาถูกสบประมาทฉุนกึกขึ้นหน้า พนมมือไหว้สมุห์แจ้งประชด “อ้ายเถาน่ะมันโง่ ใครๆเขาก็รู้แล้ว แต่คนฉลาดที่แกล้งโง่หวังสึกเณรทั้งองค์ เพื่อแก้แค้นน่ะแหละจะตกนรก”

สมุห์แจ้งชักร้อนตัว “เอ๋ หมอเถาพูดพิกล หลวงตาท่านลงโทษสึกของท่านเองต่างหาก”

“ก็ท่านสมุห์เป็นโจทก์แจ้งอทินนาไม่ใช่เร๊อะ จำเลยก็ยังไม่ทันแก้คดี จะตัดสินรวบรัดเช่นนี้ไม่ยุติธรรมคะรับ”

หลวงตากำลังอารมณ์เสียหันมาตวาดฉุนเฉียว “หมอเถาไม่ได้ยินเรื่องว่าเณรชั้วมันรับตลอดข้อหา แล้วจะไม่ผิดยังไง”

หมอเถาพนมมือแต้เกรงๆ “เณรชั้วเป็นเด็กก็รับความจริงตามประสาเด็กแต่ความจริงนั้นอาจไม่ผิดอทินนา หรือลักทรัพย์ก็ได้คะรับ ผมขอความยุติธรรมเป็นที่พึ่ง”

หลวงตาได้สติชักสะกิดใจคำหมอเถาทั้งดูทีท่าหมอเถามั่นอกมั่นใจอยู่จึงถามว่า “แล้วจะให้ทำยังไงมันถึงจะยุติธรรมล่ะ”

หมอเถาชี้ตัวท่านสมุห์แจ้ง “ให้ท่านสมุห์เป็นอัยการกล่าวโทษและผมขอเป็นทนายจำเลยแก้ข้อหา และหลวงตาเป็นผู้พิพากษา”

“จะตั้งศาลบนกุฏิก็เอาว๊ะ” หลวงตาตกปากด้วย ใจจริงนั้นสงสารเณรชั้วอยู่มาก เพราะเป็นหลานแท้ๆ

สมุห์แจ้งอดกระแหนะกระแหนหมอเถาไม่ได้ “อ้อ เป็นหมอยาแล้วก็มาหัดเป็นหมอดู มาวันนี้จะริเป็นหมอความ ช๊ะๆหมอเถา”

“คะรับ ท่านสมุห์” หมอเถายักคิ้วตอบไม่เกรงใจและย้อนกลับ “แต่อ้ายจะริเป็นหมอเสน่ห์รับจ้างฝังรูปฝังรอย หรือเป็นหมอหวยบอกเบอร์น่ะไม่ขอเป็นแน่”

สมุห์แจ้งหน้าชา เพราะรู้ว่าถูกหมอเถาแขวะเอา แต่จำเป็นต้องนิ่งเพราะเสียเปรียบ ครูก้อน ครูสมศักดิ์ และทิศจวงเดาใจหมอเถาไม่ออกว่าจะแก้คดีอย่างไร และแปลกใจที่วันนี้เจ้าเกลอทำยังกะไม่ใช่หมอเถาคนเก่า

เช่นเดียวกับหลวงตาชื้น ซึ่งเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว ขณะนี้ครุ่นคิดอยู่ว่าหมอเถาจะออกรูปไหน และนึกขันอารมณ์พิเรนของศิษย์

“เอ้าพิจารณาคดีได้ ท่านสมุห์ว่ามา”

สมุห์แจ้งชำเลืองสบตาหมอเถาทนายจำเลย “ผมขอถือสำนวนเดิม จำเลยรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ทุเรียนที่ค้นได้ในตัวต่อน้าศาล จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่มีข้อสงสัย ไม่ติดใจซักจำเลยอีก”

ถึงวาระของหมอเถา ซึ่งทั้งกระแอมกระไอ ยึดอก วางมาดทนายและหันมาทางคุณนายทรัพย์

“คุณนายคะรับ ทุเรียนของคุณนายนำมาถวายพระนั้น เมื่อพระฉันแล้วเหลือ ยังคิดว่าจะเก็บกลับคืนไปบ้านหรือเปล่า”

คุณนายทรัพย์ตอบทันที ไม่ต้องคิด “ของทำบุญถวายพระ ไม่ใช่ของไหว้เจ้านี่จ๊ะ ถวายท่านแล้วก็ย่อมสละแล้ว หวังแต่กุศลเป็นที่ตั้ง”

หมอเถายิ้มกริ่มอยู่ในหน้า พนมมือไหว้พระสงฆ์ที่ยังนั่งอยู่ครบถามว่า “พระคุณเจ้าทั้ง 5 องค์ ล่ะคะรับ คุณนายถวายท่านแล้ว ท่านก็ฉันแล้ว ยังคิดจะเก็บส่วนที่เหลือไว้ฉันในมื้ออื่นอีกหรือเปล่า”

สมุห์แจ้งคู่คารม ก็ตอบแทนพระอื่นๆ “ของรับประเคนแล้ว ย่อมเก็บไว้ฉันในมื้ออื่นข้ามคืนมิได้ หมอเถาก็น่าจะรู้จะมาล่อหลอกถามพระเพื่ออะไรกัน”

หมอเถาเหลียวไปรอบๆ มองหน้าทุกๆคนและถามหนักแน่น “ยังมีใคร คิดจะยึดถือว่าตนเป็นเจ้าของทุเรียน ที่เหลืออยู่นี้บ้างไม๊”

ไม่มีใครตอบ หมอเถาจึงพนมมือไปทางหลวงตา “ผมขอแถลงเป็นข้อสุดท้ายเพื่อปิดคดีเลยคะรับ”

หลวงตายิ้มหายโมโห เดาความคิดของเจ้าศิษย์ทึ่มๆที่บางครั้งก็โง่เกินไป บางครั้งก็ฉลาดเกินไปจึงพยักหน้าอนุญาต

หมอเถาก็เริ่มสาธก “ทุเรียนจานนี้หัศเดิมเริ่มแรกเป็นของคุณนายทรัพย์ เมื่อถวายพระแล้วก็สละสิทธิ์เจ้าของไป พระเมื่อท่านฉันตามเจตนาของผู้ถวายแล้วก็มิได้ยึดถือเป็นเจ้าของไว้ เพราะสงฆ์ย่อมไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นสมบัติของตน นอกจากอัฐบริขารแปดอย่างอันจำเป็น ฉะนั้นก็ย่อมประจักษ์ว่าทุเรียนจานนี้เป็นทรัพย์อรทานไม่มีเจ้าของแล้ว พระราชกำหนดกฎหมายท่านว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปเป็นของตนโดยทุจริต ผู้นั้นทำความผิดฐานลักทรัพย์ ก็เมื่อทุเรียนจานนั้นไม่มีเจ้าของก็คือมิได้เป็นของผู้อื่นผู้ใด การที่เณรชั้วยึดเอาเป็นของตน 1 พู ก็มิได้มีจิต เป็นทุจริต เพราะถือว่าตนยกเอาไปครอบครองอยู่ย่อมเป็นของตน ย่อมไม่เป็นโจร ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนบทพระวินัยเรื่องอทินนาผมไม่รู้ รู้แต่ว่าภิกษุย่อมยึดถือผ้าห่ออศุภอันเขาละแล้วมาเย็บย้อมเป็นสบงจีวรครองได้ ไม่ผิด หลวงตาโปรดตัดสินยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาเถอะ คะรับ”

สมุห์แจ้งผิดหวังนั่งหน้างอ ครูก้อน ครูสมศักดิ์และทิดจวงกลั้นหัวเราะไว้จนคอโป่ง ไม่ปล่อยก๊ากออกมาก็บุญแล้ว พระอื่นๆนั้นยิ้มในอุบายและคารมของหมอเถา ครอบครัวคุณนายทรัพย์และคุณนายเฮี้ยะก็พลอยยิ้มเห็นด้วยกับหมอเถาทุกคน

หลวงตาชื้นยิ้มพราย พออกพอใจเหลียวดูสีหน้าทุกคนก็ดูจะเห็นด้วยกับหมอเถา เว้นแต่เจ้าดำคนเดียวเอาแต่นั่งจ้องจานทุเรียนของกลางท่าเดียว ไม่สนใจอะไรทั้งหมด ท่านจึงเอ่ยขึ้นท่ามกลางคนทั้งหลายว่า

“เณรชั้วเป็นหลานของฉัน ย่อมเป็นการไม่ยุติธรรมที่ฉันจะตัดสิน ขอตั้งพระสามองค์ที่อยู่นี้เป็นคณะลูกขุนตัดสินแทน ท่านสมุห์เป็นอัยการก็ไม่ควรเกี่ยวข้องด้วย”

พระทั้งสามองค์กล่าวพร้อมกันยังกับตอนสวดยะถาสัพพีเมื่อครู่ว่า “หมอเถากล่าวสมควรแล้ว เณรชั้วไม่มีความผิดฐานอทินนา”

หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ และทิดจวงยกมือท่วมหัว “สาธุ” หลวงตาถือโอกาสขับเณรชั้ว “เอ้าหมดเรื่องแล้ว เจ้าเณรตัวดี เมื่อพ้นผิดก็ไปได้แล้ว”

เณรชั้วก็คือยอดเณร ลุกขึ้นจากหอฉัน แต่ไม่ลุกขึ้นเปล่า คว้าจานทุเรียนของกลางติดมือไปเสียด้วย ต่อหน้าต่อตาเจ้าดำคู่วิวาทที่มองตามตาละห้อยไปจนลับตา

ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ทิดจวง กลั้นต่อไปไม่ไหวปล่อยก๊ากๆออกมาเต็มเสียง หัวร่อกันท้องคัดท้องแข็ง ทำให้คนอื่นๆพลอยหัวร่อตามไปด้วยเพราะอดขันไม่ได้ แม้แต่สมุห์แจ้งก็ยังต้องยิ้ม

บนกุฏิเงียบเสียงวุ่นวายลง เพราะแขกลากลับและพระก็คืนสู่กุฏิแล้ว จึงเหลือแต่หลวงตาและคณะลูกศิษย์ และทิดจวงซึ่งขออนุญาตเมีย อยู่คุยกับหลวงตาก่อน และได้หมอเถาครูก้อนเพื่อนเก่าที่ถูกคอกันมา ทั้งคุยและสัพยอกเป็นที่ครึกครื้นเฮฮา

คุยกันไปหลายต่อหลายเรื่องในที่สุดก็วนมาเรื่องโหราศาสตร์เพราะครูสมศักดิ์ปรารภขึ้นก่อน

“ผมทั้งเรียนทั้งเล่นโหราศาสตร์มาก็หลายปี แต่ละอาจารย์ก็มีวิธีพยากรณ์ตามมติของตน ซึ่งแตกต่างกันจนหาข้อยุติมิได้ ยิ่งนักเล่นใหม่ๆมีภูมิปัญญาน้อยเกินกว่าจะหาเหตุผลตัดสินได้วิธีใดถูกใดผิดและควรยึดถือแบบใด”

หลวงตาชื้นหัวเราะตอบง่ายๆ “เมื่อยึดถือไม่ได้ก็อย่าไปยึดถือมัน เหตุผลก็ไม่ต้องหามันให้ยุ่งสมอง”

ครูสมศักดิ์มองหน้าหมอเถา หมอเถามองหน้าครูก้อน ครูก้อนมองหน้าหลวงตา เพราะทายใจท่านไม่ถูกว่าท่านพุดจริงหรือพูดเล่น

หลวงตาชื้นเดาใจลูกศิษย์ได้ว่าไม่เข้าใจจึงพูดต่อ “วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่บางครั้งก็ไม่ต้องอาศัยเหตุผล เช่น อาทิตย์ มีความหมายว่า แสงสว่าง หรือ ความเจริญรุ่งโรจน์ ก็ยังพอมองเห็นเหตุผลได้ เพราะอาทิตย์คือไฟดวงใหญ่ แต่ความหมายที่แปลว่า เกียรติ ยศศักดิ์ราชการ ก็จะหาเหตุผลให้ตรงความหมายยาก เพราะหลักเกณฑ์โหราศาสตร์ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ การสังเกตของโบราณาจารย์ ท่านจึงกำหนดไว้เหมือนเรียนทางไสยศาสตร์และคาถาอาคม มัวแต่นั่งคิดแปลตัวคาถาก็จะเรียนสำเร็จได้ยาก”

“พูดถึงอาทิตย์” ครูก้อนถามขึ้นบ้าง “อาจารย์บางท่านกล่าวเกิดคราสหรืออับแสงก็ดี ชะตาชีวิคจะขาดความรุ่งโรจน์ในเกียรติและอำนาจเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือขอรับ”

“เออ พวกนี้มันช่างตั้งปัญหาซักถามล่อให้ไปหักล้างหลักเกณฑ์ของผู้อื่นเขาร่ำไปเป็นการไม่สมควร” หลวงตาพูดช้าๆตรึกตรองตามประสาภิกษุชรา “อาตมาคิดอย่างพระบ้านนอก ที่เรียนน้อยรู้น้อย เพียงแต่พูดตามที่ตัวคิดเห็น ให้ศิษย์ฟังประดับปัญญาไว้เป็นเหตุผลที่จะเชื่อถือหรือไม่เพียงใด อาจเป็นความโง่ของอาจารย์ที่สอนศิษย์โง่ เพื่อชวนกันให้โง่มากกว่าเก่าก็ได้”

หมอเถายิ้มประจบ “ผมอยากโง่คะรับหลวงตา”

หลวงตาอธิบายต่อ “ดาราศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของโหราศาสตร์ แต่โหราศาสตร์ไม่ใช่ดาราศาสตร์ อย่างเช่นคนเกิดในขณะที่อาทิตย์ไม่มีแสงเพราะลับโลกไปแล้ว แต่ก็มีชีวิตรุ่งโรจน์ เช่นท่านจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์เกิดเมื่อเวลากลางคืนตีหนึ่งสามสิบห้านาที จุดคราสก็เหมือนกันคือเป็นจุดอับแสงชั่วขณะหนึ่ง โดยถูกดวงจันทร์โคจรเข้ามาในวิถีที่บังดวงอาทิตย์ได้ระดับและช่วงระยะห่างพอเหมาะ ทำให้เกิดมืดมัวในเฉพาะพื้นที่บางแห่งของโลกมีอาณาบริเวณจำกัด ถ้าจะเล่นคราสกับดวงชะตาก็ต้องจำกัดเฉพาะสถานที่เกิดที่มีจุดคราสจริงๆเท่านั้น เพราะในวันเวลาที่เกิดคราส สถานที่บางแห่งไม่มีคราสเลย หรือคิดอย่างชาวบ้านก็คือดวงอาทิตย์ก็ยังเป็นดวงอาทิตย์ที่สว่าง แต่มีดวงจันทร์มาบังได้ระดับตาเราให้เห็นว่ามือมิดเท่านั้น และถ้าจะถือเหตุผลเช่นนี้เป็นมูลเหตุ ก็ในฤดูฝนเมฆฝนบังอาทิตย์หรือขณะฝนตกหนักบังแสงอาทิตย์เสียก็มิต้องถือว่าเป็นจุดเสื่อมของอาทิตย์ในดวงชะตาของผู้ที่ถือกำเนิดมาในเวลานั้นหรือ ถ้าเกิดมาหลายสิบปีใครเล่าจะยังจดจำดินฟ้าอากาศไว้ได้บ้าง”

หลวงตาพูดติดต่อกันยืดยาว จนต้องหยุดพักหายใจเพราะเหนื่อยจริงๆ จนหอบจีวรกระเพื่อม หมอเถาจัดแจงรินน้ำชาประเคนและจุดบุหรี่ถวายปรนนิบัติอย่างรู้ใจ

พอทานหายเหนื่อยก็ให้ข้อคิดเตือนสติศิษย์ไว้ “เราเคยเล่นอย่างใดได้ผลก็เล่นไปทางนั้นก่อน พบมติใหม่อย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ จงนำมาทดสอบให้เห็นผลมาก ๆ ถ้ามีผลจงรับไว้เรียนวิชาทุกอย่างอย่าทำตนเป็นพระภัควัม ปิดทวารทั้งเก้าเป็นมหาอุด คือ อุดหู อุดตา ไม่รับฟังรับดูอะไรเลย จะโง่จนตาย

ครูสมศักดิ์ยังมีปัญหาข้องใจอยู่อีกมากจึงเอ๋ยถามอีก “เรื่องทักษาก็อีกขอรับ การนับภูมิจร เข้าภูมิออกภูมิมันมีหลายอย่างนักควรจะยึดถือทางใดที่ได้ผลขอรับ”

หลวงตาชื้นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ท่านยิ้มๆ “เอาไว้วันหลังว่างๆเถอะครู อธิบายมากๆนักเดี๋ยวคนอื่นเขาจะเรียกว่าหลวงตาฝอยน่ะนา และวันนี้ก็บ่ายโขแล้ว อยากจะหาเวลาไปเยี่ยมท่านเจ้าอาวาสสักหน่อย ได้ข่าวว่าอาพาธอยู่ วันหลังค่อยคุยกัน”

ศิษย์ทั้ง 4 ก็จำใจต้องกราบบอกลาเมื่อถอยลงจากกุฏิพอพ้นประตู หมอเถาก็พบเณรชั้วยืนแอบต้นมะยมคอยอยู่ เณรชั้วปรี่เข้ามาใกล้ยัดเยียดห่อกระดาษให้หมอเถาไว้

หมอเถารับไว้งงๆไม่เข้าใจจึงแก้ออกดูเป็นทุเรียนเม็ดใหญ่น่ากิน “เอ๊ะ…อะไรกันเณรชั้ว ของกำนัลอะไรกัน”

“ค่าทนายว่าความน่ะซีหมอเถา” เณรชั้วยักคิ้วตอบแล้วก็ผละขึ้นกุฏิไป ไม่รอฟังคำคัดค้านของหมอเถา.



#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์