เกี่ยวกับมูลนิธิฯ

สมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระสังฆราช

วรคติธรรม สำหรับโหร

จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ในยามนี้ผู้คนกำลังมีจิตใจวุ่นวายเดือดร้อนเศร้าหมองมาก ด้วยเกิดวิกฤติอย่างรุนแรงนั้น พวกท่านผู้เป็นโหร หรือหมอดูทั้งหลายมีความหมายอย่างมากแก่จิตใจของเขาเหล่านั้น คำพูดของท่านเป็นที่พึ่งทางจิตใจที่พวกเขาปราถนา นั้นหมายความว่าถ้าท่านพูดดีก็สามารถให้กำลังใจใคร ๆ ได้ ช่วยให้คลายทุกข์คลายร้อนได้ แม้เพียงชั่วคราวก็ยังดี ยิ่งเป็นคำพยากรณ์ คำทำนายทายทัก ก็จะยิ่งมีความหมายเป็นพิเศษ เรียกว่าท่านผู้เป็นโหร เป็นหมอดูทั้งหลายมีโอกาสที่จะทำบุญมากมายยิ่งกว่าใครอื่น หมอดูจะเป็นที่ปรึกษาที่ได้รับความไว้วางใจจากคนทุกฐานะก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายสำนึกในเกียรติที่ได้รับ ทำหน้าที่อันมีเกียรติให้เต็มที่ ตั้งเมตตาไว้ในจิตให้กว้างขวางให้เต็มด้วยความสามารถแห่งกำลังจิต แล้วแผ่ออกไปช่วยประคับประคองผู้กระทบกระเทือนจากภัยเศรษฐกิจที่กำลังเดือดร้อนจนอยู่ไม่ติด ต้องมาเสียเงินเสียทองให้จนยิ่งขึ้น คงด้วยว่าจะได้รับข่าวดี ที่จะคลี่คลายปัญหาชีวิต ที่จะให้ความหวัง ให้เป็นแสงสว่างในความมืดที่ห้อมล้อมชีวิตอยู่

การจะทำหน้าที่อันมีเกียรติอย่างยิ่งของโหรหรือของหมอดูให้สมกับเกียรติของตน ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าตนจำเป็นต้องอบรมตนเองให้มีกิริยาท่าทางที่ผู้ได้พบเห็นอบอุ่นใจที่จะได้เข้าใกล้ ที่จะกล้าระบายความคับแค้นแน่นหัวใจ จนพอมีความสุขบ้างพอสมควร ต่อจากนั้นก็คงเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย ผู้มีวิชาอ่านดวงให้รู้โชคชะตาราศีจะเป็นโอกาสได้ทำบุญอีกช่วงหนึ่งในตอนนี้คือ ถ้าคำทำนายไม่เพิ่มความหนักในความเป็นทุกข์เป็นร้อนให้แก่ผู้มาพึ่ง ก็เป็นการไม่ทำบาป แต่ถ้าให้คำทำนายที่ไปเพิ่มความหนักใจ ความตกอกตกใจ แน่นอนเป็นการทำผิด จะว่าปาปก็คงพอได้ เพราะเป็นการก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ถ้าไม่เจตนาให้เขาเป็นทุกข์พูดไปตามความรู้ความเห็น บาปก็คงน้อย แต่ถ้าเจตนาจะให้เขาตกใจ เพื่อให้ตนเองมีงานได้เงิน ในการบอกวิธีแก้คำพยากรณ์ให้กลับจากร้ายกลายเป็นดี เช่นนั้นย่อมบาปมาก ที่จริงก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้เป็นหมอดู เพราะบางเรื่องที่ปรากฏอยู่ในดวงชะตานั้นบางทีก็แรงบางทีก็ร้าย ที่ผู้หวังคำพยากรณ์เป็นกำลังใจอาจรับไม่ได้ เช่นนี้ก็ฝากไว้ว่า อย่าเห็นแต่การจะแสดงความเก่งในการพยากรณ์เท่านั้น จงนึกถึงธรรมะเกี่ยวกับการพูดที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงแสดงไว้ว่า "คำจริงนั้นแม้พูดแล้วไม่เป็นประโยชน์แต่เป็นโทษ อย่าพูดเสียเลยดีกว่า"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

สมเด็จพระญาณสังวร ฉายา สุวฑฒโน นามเดิม เจริญ นามสกุล คชวัตร เกิดที่ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันศุกร์ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม 2456 เวลาประมาณ 10 ทุ่มมีเศษ โยมบิดาชื่อนายน้อย คชวัตร โยมมารดาชื่อนางกิมน้อย คชวัตร บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ. 2496 อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. 2497 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532